
ทราบใหม่ว่าอะไรคือสาเหตุหลักของการเสียชีวิตทั่วโลก? ไม่ ใช่โรคเอดส์ ไม่ใช่ไข้หวัดนกและก็ไม่ใช่ภาวะขาดสารอาหาร (ทุพโภชนการ) หรือแม้แต่โรคมะเร็ง ฆาตกรอันดับหนึ่งของโลกคือ โรคหัวใจ ในปี พ.ศ.2548 ประชากรจำนวนถึง 17.5 ล้านคนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ซึ่งเท่ากับหนึ่งในสามของจำนวนการเสียชีวิต และผู้ที่เสียชีวิตเกือบทั้งหมด(80%) อยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง
อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปยังไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงนี้ ดังนั้นศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านอาหารแห่งเอเซีย(AFIC) จึง ร่วมสนับสนุนวันหัวใจโลกที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 28 กันยายน นี้ เป้าหมายของวันหัวใจโลกคือการช่วยประชากร ให้มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพดีขึ้นด้วยวิธีการขั้นตอนง่ายๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โดยในปีนี้ได้เน้นย้ำความสำคัญในเรื่องความดันโลหิตสูง(Hypertension) ซึ่งเป็นปัจจัยความเสี่ยงหลักของโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ทำให้หัวใจ, อวัยวะต่างๆ และหลอดเลือดทำงานหนักขึ้น
อัตรา การเกิดโรคความดันโลหิตทีเพิ่ม สูงขึ้นในเอเซียเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต และการรับประทานอาหาร ในปี พ.ศ.2545 ประเทศจีนมีการรายงานการสำรวจ สถานภาพด้านโภชนการและสุขภาพว่า 18.8% ของชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 18 ปีมีความดันโลหิตสูง และในอินเดียพบว่าอัตรานี้สูงมากโดยผู้ใหญ่ถึง 1 ใน 2 มีความดันโลหิตสูงและความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ในประเทศไทย 1 ใน 3 ของผู้ใหญ๋ที่อายุมากกว่า 35 ปีมีความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งกว่านั้น ตัวเลขนี้เพิ่มสูงขึ้นอีกถึง 45 % เมื่ออายุเกิน 55 ปี
มูลนิธิ หัวใจโลกคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2568 ประชากรในโลกมากถึง 1 ใน 3 คนจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ยิ่งกว่านั้นประชากรเกือบทั้งหมดไม่คาดคิดมาก่อนว่าตัวเอง มีปัญหาความดันโลหิตสูงจนกว่าจะได้รับการตรวจแพทย์ใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 นาทีเท่านั้นในการวัดความดันโลหิตและการตัดสินใจนี้สามารถช่วยชีวิตคุณได้ ความดันโลหิตปกติควรจะอยู่ที่ระดับ 120/80 (ตัวเลขบนคือ ความดันโลหิตสูงสุดที่เกิดขึ้นหลังระยะการบีบตัวของห้องหัวใจ ขณะที่ตัวเลขล่างเป็นความดันเมื่อหัวใจคลายตัว) ความดันโลหิตสูงสามารถขึ้นและลงได้เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นจึงเป็นความคิดที่ดีในการเข้ารับการตรวจความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง มีขั้นตอนการดำเนินชีวิตง่ายๆที่คุณสามารถนำไปปฏิบัติได้
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- เฝ้าระวังน้ำหนัก
- การอ้วนเกินไปจะเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้น ทำให้หัวใจและหลอดเลือดต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายหมั่นออกกำลังกาย
- การทำร่างกายให้กระฉับกระเฉง นอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนักตัวแล้ว ยังมีความสำคัญมากในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ การออกกำลังช่วยควบคุมความดันโลหิต ดังนั้นควรตั้งเป้าหมายการออกกำลังกายที่มีความหนักในระดับที่เหมาะสมให้ได้ อย่างน้อย 30 นาที (เช่น การเดินเร็ว) ให้ได้เกือบทุกวัน
- ระมัดระวังเกลือ การบริโภครสเค็มมาก ๆ เพิ่ม ความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง เกลือทำให้ร่างกายเก็บกักน้ำไว้ในร่างกายมากกว่าปกติซึ่งเป็นการเพิ่มความ ดันหลอดเลือดเกลือที่มากเกินไปยังทำลายไต และทำให้ความสามารถในการขับของเสียออกจากร่างกายลดลง นอกจากนี้ยังรวมถึงเกลือที่ใส่ตอนปรุงอาหาร หรือเติมที่โต๊ะอาหารอีกด้วย ระวังเครื่องปรุงที่มีรสเค็ม เช่น ซอลถั่วเหลือง ซุปก้อนปรุงรส น้ำปลาและกะปิ
- เลือกการลดเกลือหรือลดอาหารและเครื่องปรุงรสที่มีเกลือต่ำ จำกัดการรับประทานของขบเคี้ยวรสเค็ม เช่น บ๊วยเค็ม
- รับประทานผักและผลไม้มากๆ การบริโภคผักและผลไม้มากๆ มีความสัมพันธ์กับการลดลงของอัตราการเกิดโรคหัวใจ ผลไม้และผักส่วนมากอุดมด้วยโปตัสเซี่ยมซึ่งมีบทบาทเป็นที่ประจักษ์ว่า ช่วยลดความดันโลหิต ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการแนะนำว่าควร รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อย 5 หน่วย บริโภคต่อวัน(1 หน่วย บริโภคเท่ากับผลไม้ขนาดกลาง 1 ชิ้น หรือ ผักที่ปรุงสุกแล้ว 1/2 ถ้วย) คนส่วนมากไม่สามารถบริโภคได้ตามปริมาณนี้
จากรายงานการสำรวจทางโภชนาการและสุขภาพของจีนปี 2545 พบว่าปริมาณผลไม้โดยเฉลี่ยต่อวันที่ ผู้ใหญ่เพศชายบริโภคคือ
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามกีฬา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น