Need to pass a drug test? SEE HOW IT WORKS!
Woman attracts Men

สวยใส สไตล์เกาหลี

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

ความรู้เบื้องต้นเรื่องโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

ทั่วๆไปลำไส้ใหญ่แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ลำไส้ใหญ่ที่อยู่ในช่องท้อง หรือ โคล่อน (colon) กับลำไส้ใหญ่ส่วนที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน หรือ เร็คตั่ม (rectum) มะเร็งสามารถเกิดขึ้นได้กับลำไส้ใหญ่ทุกๆ ส่วน มะเร็งลำไส้ใหญ่ของทั้ง 2 ส่วนจะมีลักษณะโรค และวิธีการรักษาจะแตกต่างกันบ้าง แต่สาเหตุการตรวจวินิจฉัยและระยะโรคจะคล้ายคลึงกัน
มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีอุบัติการณ์สูงกว่าในคนอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่สามารถพบได้ในทุกอายุ จะพบได้น้อยกว่าในอายุต่ำกว่า 40 ปี อุบัติการณ์ในเพศชายจะสูงกว่าในเพศหญิง

สาเหตุการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่

ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่ได้ข้อสรุปชัดเจนว่า อะไรเป็นสาเหตุของมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่พบว่ามีหลาย ๆ ปัจจัยที่อาจมีความสัมพันธ์ หรือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ ได้แก่
1.พันธุกรรม ทั้งชนิดพันธุกรรมที่ถ่ายทอด และพันธุกรรมที่ไม่ถ่ายทอด ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ใหญ่ หรือเกิดเป็นก้อนเนื้อโพลิบ (polyp) ของลำไส้ใหญ่
2.อาหาร บางการศึกษาวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารไขมันสูง หรืออาหารที่ขาดใยอาหาร ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่า
3.บางการศึกษาพบว่า การขาดสารอาหารบางชนิดอาจเป็นปัจจัยให้เกิดมะเร็งใน ลำไส้ใหญ่ ได้สูงกว่าผู้ป่วยได้รับสารอาหารครบถ้วน
4.การรับประทานผัก ผลไม้ ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อเทียบกับการรับประทาน อาหารกลุ่มอื่น
อาการและอาการแสดงของมะเร็งลำไส้ใหญ่

ไม่มีอาการเฉพาะของมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่จะเป็นอาการเช่นเดียวกับอาการของโรคลำไส้ทั่ว ๆ ไป เช่น
1.ท้องผูก สลับท้องเสีย อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
2.อุจจาระเป็นมูกเลือด เป็นเลือดสด หรือสีดำคล้ายสีถ่าน
3.ปวดเบ่งเวลาถ่ายอุจจาระ
4.ปวดท้องอย่างรุนแรง
5.อาจมี คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หรือ ซีดโดยไม่รู้สาเหตุ
6.อาจคลำก้อนได้ในท้อง

การตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และการตรวจหาระยะของโรค

1.จากประวัติและการตรวจร่างกาย ประกอบ อาการ และอาการแสดงของผู้ป่วย รวมทั้งการตรวจทางทวารหนัก
2.การตรวจ และ/หรือ การตรวจปัสสาวะทางห้องปฏิบัติการ
3.อาจมีการถ่ายภาพเอกซเรย์ด้วยการสวนแป้งทางทวารหนัก
4.การส่องกล้องทางทวารหนัก และการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางด้านพยาธิวิทยา เพื่อหาโรคมะเร็ง
โดยฉายวันละ 1 ครั้ง ฉายติดต่อกัน 5 วันใน 1 สัปดาห์ หรือหยุดตามวันหยุดราชการ และวันเสาร์ อาทิตย์ เป็นต้น
เคมีบำบัด คือการให้ยาสารเคมี ซึ่งอาจให้ก่อนการผ่าตัด และ/หรือหลังผ่าตัด ร่วมกับรังสีรักษา หรือไม่ก็ได้ การใช้เคมีบำบัดก็จะขึ้นกับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
ไม่จำเป็นต้องให้ในผู้ป่วยทุกราย แพทย์จะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป

การติดตามผลการรักษา

ภายหลังรักษาครบตามกระบวนการแล้ว แพทย์ยังจะนัดตรวจผู้ป่วย
สม่ำเสมอ โดยในปีแรกอาจนัดตรวจทุก 1 - 2 เดือน ภายหลังรักษาครบ 2 - 3 ปี ไปแล้วอาจนัดตรวจทุก 2 - 3 เดือน ภายหลัง 3 - 5 ปี อาจนัดตรวจทุก 3 - 6 เดือนและถ้าเกิน 5 ปีไปแล้ว อาจนัดตรวจทุก 6 - 12 เดือน
ในการนัดมาทุกครั้ง แพทย์จะซักประวัติ และทำการตรวจร่างกาย ส่วนการตรวจเพิ่มเติมอื่น เช่นการตรวจเลือด หรือ เอกซเรย์จะทำตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เป็นรายๆ ไป ไม่เหมือนกัน
ผู้ป่วยควรมาตรวจตามนัดสม่ำเสมอ และควรนำญาติสายตรง หรือผู้ให้การดูแลผู้ป่วยมาด้วย เพื่อจะได้ร่วมปรึกษา เพื่อการดูแลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
ในการตรวจหาระยะของโรค แพทย์อาจมีการตรวจเพิ่มเติม ทั้งนี้ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ไม่จำเป็นต้องตรวจเหมือนๆ กันในผู้ป่วยทุกราย เช่น
1.การตรวจช่องท้องด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซีทีสะแกน (CT-scan)
2.การตรวจภาพเอกซเรย์ปอด
3.การตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการ เพื่อดูการทำงานของ ตับ ไต หรือโรคเบาหวาน เป็นต้น
4.การตรวจภาพสแกนกระดูก ถ้าผู้ป่วยมีอาการปวดหลังมาก เพื่อตรวจว่าได้มีโรคแพร่กระจายไปกระดูกหรือไม่
5.การตรวจอัลตราซาวด์ตับ ถ้าสงสัยว่า มีโรคแพร่ไปตับ

ระยะของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็งลำไส้ใหญ่ แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 โรคมะเร็งยังอยู่ในเยื่อบุลำไส้
ระยะที่ 2 โรคมะเร็งทะลุเข้ามาในชั้นกล้ามเนื้อของลำไส้ และ / หรือ ทะลุถึงเยื่อหุ้มลำไส้ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะข้างเคียง
ระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง
ระยะที่ 4 มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกลออกไป หรือลุกลามตามกระแสโลหิตไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น ตับ ปอด หรือกระดูก เป็นต้น

ความรุนแรงของมะเร็งลำไส้ใหญ่

ความรุนแรงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่

1.ระยะของโรค ระยะยิ่งสูงความรุนแรงของโรคก็มากขึ้น

2.สภาพร่างกาย และโรคร่วมอื่นๆ อันมีผลต่อสุขภาพของผู้ป่วย เช่น
โรคเบาหวาน โรคไต เป็นต้น ดังนั้นผู้ป่วยควรรักษาสภาพร่างกายให้แข็งแรง และควบคุมโรคอื่นๆ ให้ได้
3.อายุ ผู้ป่วยอายุน้อย มักมาพบแพทย์เมื่อโรคลุกลามมากกว่า เพราะไม่ค่อยได้นึกถึงโรคมะเร็ง
ส่วนผู้ป่วยสูงอายุ มักมีสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการรักษา
4.ขนาดของก้อนมะเร็ง ยิ่งมีขนาดโตมากความรุนแรงของโรคจะมากกว่าในผู้ป่วยซึ่งขนาดก้อนมะเร็งเล็กกว่า
5.การที่มีมะเร็งลุกลามเข้าอวัยวะข้างเคียง ความรุนแรงของโรคก็จะมากกว่าการไม่มีการลุกลามของโรค

วิธีรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่

การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่มี 3 วิธีหลักที่สำคัญ ได้แก่ การผ่าตัด รังสีรักษา และ เคมีบำบัด
***การผ่าตัด การรักษาหลักของมะเร็งลำไส้ใหญ่ คือ การผ่าตัด เอาลำไส้ส่วนที่เป็นโรค และต่อมน้ำเหลืองออกไป ในบางครั้งถ้าเป็นมะเร็งที่ลุกลามมาก หรือ มะเร็งของลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่อยู่ติดกับทวารหนัก การผ่าตัดอาจมีความจำเป็นต้องทำทวารเทียม เอาปลายลำไส้ส่วนที่เหลืออยู่เปิดออกทางหน้าท้อง เป็นทางให้อุจจาระออก
***รังสีรักษา เป็นการรักษาร่วมกับการผ่าตัด อาจฉายรังสีก่อน หรือหลังผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นกับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เป็นรายๆ ไป โดยแพทย์จะประเมินจากลักษณะการ
ลุกลามของก้อนมะเร็ง และโอกาสการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลือง
โดยทั่วไป การฉายรังสีรักษา มักใช้ระยะเวลาประมาณ 5 - 6 สัปดาห์

ที่มาของข้อมูล
หน่วยรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา
ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เสื้อคู่ตัดพิเศษ ทุกไซด์

เสื้อครอบครัว / เสื้อคู่แม่ลูก

หมอนอิงคู่ / ชุดชั้นในเพื่อเธอ